สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914 – 1918)
กลุ่มไตรภาคี
(Triple
Alliance) ประกอบด้วย
เยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี และ
อิตาลี
กับกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซียการรบเริ่มขึ้นภายหลังเหตุการณ์ลอบสังหารมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย –ฮังการีและสิ้นสุดลงด้วย
ความพ่ายแพ้ของฝ่ายไตรภาคีหรือฝ่ายมหาอำนาจกลางมีการทำสนธิสัญญาแวร์ซาย
บังคับให้เยอรมนีและพันธมิตรเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนให้แก่ฝ่ายไตรพันธมิตร
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1
1. ลัทธิชาตินิยม
ใน ค.ศ. 1870 บิสมาร์กได้ดำเนินกุศโลบายจนเกิดสงครามฝรั่งเศส – ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) จากนั้นได้พยายามดำเนินนโยบายการโดดเดี่ยว
ฝรั่งเศสปรัสเซียเป็นฝ่ายชนะ ฝรั่งเศสต้องยอมสูญเสียแคว้น อัลซาสและลอร์เรนการสงครามทำให้รัฐเยอรมันสามารถรวมตัวกัน และต่อมาสถาปนาเป็น
จักรวรรดิเยอรมันทั้งนี้เพราะบิสมาร์กเชื่อมั่นว่า นโยบาย“เลือดและเหล็ก”เท่านั้นที่จะช่วยให้รัฐเยอรมันรวมกันเป็นประเทศได้
ฝรั่งเศสปรัสเซียเป็นฝ่ายชนะ ฝรั่งเศสต้องยอมสูญเสียแคว้น อัลซาสและลอร์เรนการสงครามทำให้รัฐเยอรมันสามารถรวมตัวกัน และต่อมาสถาปนาเป็น
จักรวรรดิเยอรมันทั้งนี้เพราะบิสมาร์กเชื่อมั่นว่า นโยบาย“เลือดและเหล็ก”เท่านั้นที่จะช่วยให้รัฐเยอรมันรวมกันเป็นประเทศได้
2. ลัทธิจักรวรรดินิยม
อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศต่าง ๆ แสวงหาตลาดระบายสินค้าและแหล่งวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมจึงก่อให้เกิด ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์
อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศต่าง ๆ แสวงหาตลาดระบายสินค้าและแหล่งวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมจึงก่อให้เกิด ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์
3. การแบ่งกลุ่มพันธมิตรยุโรป
มหาอำนาจยุโรปมีความขัดแย้งกัน
จึงจำเป็นต้องมีพันธมิตรไว้เป็นพวกทำให้
มหาอำนาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
1.) กลุ่มไตรภาคี (Triple Alliance) ประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย – ฮังการี และอิตาลี
ต่อมาอิตาลีถอนตัว กลุ่มนี้เรียกว่า “กลุ่มมหาอำนาจกลาง” (Central Powers)
ต่อมามีอิตาลีเข้าร่วมกลุ่มด้วยเรียกว่า “กลุ่มสัมพันธมิตร”
(Allied Powers)
4. ความขัดแย้งในคาบสมุทรบอลข่าน
สาเหตุของปัญหาเกิดจากการพยายามรักษาอำนาจและอิทธิพลระหว่างออสเตรีย –
ฮังการี
กับรัสเซียโดยรัสเซียต้องการใช้คาบสมุทรบอลข่านเป็นทางออกสู่ทะเล
ทางใต้ของตนและ ต้องการขึ้นเป็นผู้นำของชนชาติสลาฟ (Slav)
ในคาบสมุทรบอลข่านอันมีเชื้อสายเดียวกับรัสเซีย
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย – ฮังการี คือ อาร์ชดยุค ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์
กับพระชายาเคาน์เตส โซเฟีย โชเทกซ์ ถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 28 มิถุนายน
ค.ศ. 1914 ที่เมืองซาราเจโว
เมืองหลวงของบอสเนีย คนร้ายชื่อ กาฟริโล พรินซิป
เป็นนักศึกษาชาวบอสเนีย สัญชาติเซอร์เบีย
แหล่งที่มา : http://www.sb.ac.th/www_war/war1_1.htm
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (World War I หรือ First World War) หรือที่มักเรียกว่า
"สงครามโลก" หรือ "มหาสงคราม (Great War) ก่อน
ค.ศ. 1939 เป็นสงครามใหญ่ที่มีศูนย์กลางในยุโรประหว่างวันที่
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ทุกประเทศมหาอำนาจของโลกเกี่ยวพันในสงครามซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร (มีศูนย์กลางอยู่ที่ไตรภาคี ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (มีศูนย์กลางอยู่ที่ไตรพันธมิตร ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี) พันธมิตรทั้งสองมีการจัดระเบียบใหม่
และขยายตัวเมื่อมีชาติเข้าสู่สงครามมากขึ้น ท้ายสุด มีทหารกว่า 70 ล้านนาย ซึ่งเป็นทหารยุโรปเสีย 60 ล้านนาย
ถูกระดมเข้าสู่สงครามใหญ่ที่สุดสงครามหนึ่งในประวัติศาสตร์นี้ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยังนับว่าเป็นความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียนทหารผู้เข้าร่วมรบเสียชีวิตเกิน
9 ล้านนาย
สาเหตุหลักเพราะความร้ายแรงของพลังทำลายของอาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ
โดยไม่มีพัฒนาการในการคุ้มครองหรือความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ที่สอดคล้องกัน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่หก สงครามนี้เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย
รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน
และกรุยทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง เช่น
การปฏิวัติในชาติที่เข้าร่วมรบ
สาเหตุระยะยาวของสงครามรวมถึงนโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย อย่างจักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีจักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิรัสเซีย จักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศสและอิตาลี
ส่วน การลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรานซ์
เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
วันที่ 28 กรกฎาคม
ความขัดแย้งเปิดฉากขึ้นเมื่อออสเตรีย-ฮังการีรุกรานเซอร์เบีย ตามด้วยการรุกรานเบลเยียม
ลักเซมเบิร์กและฝรั่งเศสของเยอรมนี และการโจมตีเยอรมนีของรัสเซีย
หลังการบุกโจมตีกรุงปารีสของเยอรมนีถูกหยุด
แนวรบด้านตะวันตกก็เป็นการรบแห่งการสูญเสียที่อยู่กับที่ด้วยแนวสนามเพลาะซึ่งเปลี่ยนแปลงน้อยมากกระทั่ง
ค.ศ. 1917 ในทางตะวันออก
กองทัพรัสเซียสามารถเอาชนะกองทัพออสเตรีย-ฮังการี
แต่ถูกกองทัพเยอรมันบีบให้ถอยกลับจากปรัสเซียตะวันออกและโปแลนด์ แนวรบใหม่ ๆ
เปิดขึ้นเมื่อจักรวรรดิออตโตมันเข้าสู่สงครามใน ค.ศ. 1914 อิตาลีและบัลแกเรียใน
ค.ศ. 1915 และโรมาเนียใน ค.ศ. 1916 จักรวรรดิรัสเซียล่มสลายใน
ค.ศ. 1917 และรัสเซียถอนตัวจากสงครามหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมในปีเดียวกัน หลังการรุกตามแนวรบด้านตะวันตกของเยอรมนีใน ค.ศ. 1918
กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามและกองทัพสัมพันธมิตรสามารถผลักดันกองทัพเยอรมันกลับไปหลังได้รับชัยชนะติดต่อกันหลายครั้ง
เยอรมนี ซึ่งประสบปัญหากับนักปฏิวัติถึงขณะนี้ ได้ตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 11
พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ วันสงบศึก และชัยชนะตกเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาติมหาอำนาจยุโรปไม่มีปัญหากับการรักษาไว้ซึ่งสมดุลของอำนาจทั่วทวีปยุโรป
ซึ่งเป็นผลมาจากเครือข่ายพันธมิตรทางการเมืองและทหารอันซับซ้อนทั่วทั้งทวีปจนถึง
ค.ศ. 1900 พันธมิตรเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ. 1815 ด้วยพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างรัสเซีย รัสเซียและออสเตรีย
จากนั้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1873 นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ออตโต ฟอน บิสมาร์ก เจรจาตั้งสันนิบาตสามจักรพรรดิระหว่างพระมหากษัตริย์ของออสเตรีย-ฮังการี
รัสเซียและเยอรมนี
ความตกลงดังกล่าวล้มเหลวเพราะออสเตรีย-ฮังการีและรัสเซียไม่สามารถตกลงกันได้ในนโยบายเหนือคาบสมุทรบอลข่าน ทิ้งให้เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีจัดตั้งพันธมิตรกันสองประเทศใน
ค.ศ. 1879 เรียกว่า ทวิพันธมิตร ซึ่งถูกมองว่าเป็นวิธีการตอบโต้อิทธิพลของรัสเซียในคาบสมุทรบอลข่านเมื่อจักรวรรดิออตโตมันอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อ ใน ค.ศ. 1882 พันธมิตรนี้ขยายรวมไปถึงอิตาลีและเกิดเป็นไตรพันธมิตร
หลัง ค.ศ. 1870
ความขัดแย้งในยุโรปเบี่ยงเบนไปส่วนใหญ่ผ่านเครือข่ายสนธิสัญญาที่มีการวางแผนไว้อย่างระมัดระวังระหว่างจักรวรรดิเยอรมันกับประเทศที่เหลือในยุโรปด้วยฝีมือของนายกรัฐมนตรีบิสมาร์ค
เขาเน้นการทำงานเพื่อยึดรัสเซียให้อยู่ฝ่ายเดียวกับเยอรมนีเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามสองแนวรบกับฝรั่งเศสและรัสเซีย
เมื่อจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเยอรมนี
(ไกเซอร์) พันธมิตรของบิสมาร์คค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลง เช่น จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2
ทรงปฏิเสธจะต่อสนธิสัญญาประกันพันธไมตรีกับรัสเซียใน ค.ศ. 1890 อีกสองปีต่อมา มีการลงนามจัดตั้งพันธมิตรฝรั่งเศส-รัสเซียเพื่อตอบโต้อำนาจของไตรพันธมิตร ใน ค.ศ. 1904 สหราชอาณาจักรประทับตราเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส
ซึ่งเรียกว่า ความตกลงฉันทไมตรี และใน ค.ศ. 1907 สหราชอาณาจักรและรัสเซียลงนามในอนุสัญญาอังกฤษ-รัสเซีย ระบบนี้ประสานความตกลงทวิภาคีและก่อตั้งไตรภาคี
เอชเอ็มเอส ดรีตนอท
การแข่งขันทางอาวุธกองทัพเรือเกิดขึ้นระหว่างสหราชอาณาจักรกับเยอรมนี
อำนาจทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของเยอรมนีเติบโตขึ้นอย่างมากหลังการรวมชาติและการสถาปนาจักรวรรดิใน
ค.ศ. 1870 นับตั้งแต่กลางคริสต์ทศวรรษ 1890
เป็นต้นมา รัฐบาลของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ได้ใช้ฐานนี้ในการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันขนานใหญ่
จัดตั้งขึ้นโดยพลเรือเอกอัลเฟรด ฟอน ทีร์พิทซ์
แข่งขันกับกองทัพเรืออังกฤษเพื่อชิงความเป็นเจ้านาวิกโลก ผลที่ตามมาคือ ทั้งสองชาติต่างพยายามแข่งขันผลิตเรือรบขนาดใหญ่ระหว่างกัน
ด้วยการปล่อยเอชเอ็มเอส ดรีดนอท ใน ค.ศ. 1906 จักรวรรดิอังกฤษได้ขยายความได้เปรียบเหนือเยอรมนีคู่แข่งอย่างสำคัญ การแข่งขันอาวุธระหว่างอังกฤษและเยอรมนีได้ลุกลามไปยังส่วนที่เหลือของยุโรปในที่สุด
โดยประเทศมหาอำนาจทั้งหมดทุ่มเทฐานอุตสาหกรรมของตนในการผลิตยุทโธปกรณ์และอาวุธที่จำเป็นสำหรับความขัดแย้งทั่ว ทวีปยุโรป ระหว่าง ค.ศ. 1908 และ 1913 ค่าใช้จ่ายด้านการทหารของประเทศในยุโรปเพิ่มขึ้น
50 เปอร์เซนต์
ออสเตรีย-ฮังการีจุดชนวนเร่งให้เกิดวิกฤตการณ์บอสเนีย ค.ศ. 1908-1909 โดยการผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ซึ่งเป็นอดีตดินแดนของจักรวรรดิออตโตมัน อย่างเป็นทางการ
หลังได้ยึดครองมาตั้งแต่ ค.ศ. 1878 สร้างความโกรธแค้นแก่ราชอาณาจักรเซอร์เบียและประเทศผู้ให้การสนับสนุน
คือ จักรวรรดิรัสเซียซึ่งมีแนวคิดรวมชาติสลาฟ การดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองของรัสเซียในภูมิภาคบั่นทอนเสถียรภาพของสันติภาพควบคู่ไปกับความแตกร้าวที่เกิดขึ้นแล้วในสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันว่า
"ถังดินปืนแห่งยุโรป"
ใน ค.ศ. 1912
และ 1913 สงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งสู้รบกันระหว่างสันนิบาตบอลข่านและจักรวรรดิออตโตมันที่เสื่อมอำนาจลง สนธิสัญญาลอนดอนอันเป็นผลของสงครามได้ลดขนาดของจักรวรรดิออตโตมันไปอีก
สถาปนาอัลเบเนียเป็นรัฐเอกราช
ขณะที่เพิ่มดินแดนให้แก่บัลแกเรีย เซอร์เบีย มอนเตเนโกรและกรีซ เมื่อบัลแกเรียโจมตีเซอร์เบียและกรีซเมื่อวันที่
16 มิถุนายน ค.ศ. 1913 บัลแกเรียก็เสียมาซิโดเนียส่วนใหญ่ให้แก่เซอร์เบียและกรีซ
และเสียเซาเทิร์นดอบรูจาให้แก่โรมาเนียในสงครามบอลข่านครั้งที่สองนาน 33 วัน ซึ่งยิ่งบั่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาคขึ้นไปอีก
วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 กัฟรีโล ปรินซีป นักศึกษาชาวบอสเนียเซิร์บและสมาชิกบอสเนียหนุ่ม
ลอบปลงพระชนม์รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย ในซาราเยโวบอสเนีย อันเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินกลยุทธ์ทางการทูตระหว่างออสเตรีย-ฮังการี
เยอรมนี รัสเซีย ฝรั่งเศสและอังกฤษ เรียกว่าวิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม โดยต้องการยุติการเข้าแทรกแซงของเซอร์เบียในบอสเนีย
ออสเตรีย-ฮังการีจึงยื่นคำขาดเดือนกรกฎาคมแก่เซอร์เบีย
ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสิบประการซึ่งมีเจตนาทำให้ยอมรับไม่ได้
และเจตนาจุดชนวนสงครามกับเซอร์เบีย เมื่อเซอร์เบียยอมตกลงในข้อเรียกร้องเพียงแปดจากสิบข้อ
ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.
1914

กัฟรีโล ปรินซีปถูกจับกุมทันทีหลังลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย
จักรวรรดิรัสเซีย
ซึ่งไม่ต้องการปล่อยให้ออสเตรีย-ฮังการีกำจัดอิทธิพลของตนในบอลข่าน
และเพื่อให้การสนับสนุนชาวเซิร์บที่อยู่ในความคุ้มครองเป็นเวลานานแล้ว
จึงออกคำสั่งระดมพลบางส่วนในวันต่อมา เมื่อจักรวรรดิเยอรมันเริ่มระดมพลเมื่อวันที่ 30
กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ฝรั่งเศส
ซึ่งโกรธแค้นจากการยึดครองอัลซาซ-ลอแรนของเยอรมนีระหว่างสงครามฝรั่งเศส-รัสเซีย จึงสั่งระดมพลเช่นกันเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม
เยอรมนีประกาศสงครามต่อรัสเซียในวันเดียวกัน สหราชอาณาจักรประกาศสงครามต่อเยอรมนีเมื่อวันที่
4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 หลัง
"คำตอบซึ่งน่าพอใจ"
ต่อคำขาดของอังกฤษที่เรียกร้องให้เคารพความเป็นกลางของเบลเยียม
เล้นทางของสงคราม
เปิดฉากความเป็นปรปักษ์
ความสับสนภายในฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ยุทธศาสตร์ของฝ่ายมหาอำนาจกลางเสียหายเพราะความผิดพลาดในการติดต่อสื่อสารกัน
เยอรมนีให้คำมั่นสนับสนุนออสเตรีย-ฮังการีในการรุกรานเซอร์เบีย
แต่ได้มีการตีความความหมายนี้ผิดไป
แผนการจัดวางกำลังซึ่งเคยทดสอบมาแล้วในอดีตถูกเปลี่ยนใหม่ในต้น ค.ศ. 1914 แต่ยังไม่เคยทดสอบในทางปฏิบัติ
ผู้นำออสเตรีย-ฮังการีเชื่อว่าเยอรมนีจะป้องกันปีกด้านทิศเหนือที่ติดกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม
เยอรมนีซึ่งเห็นว่าออสเตรีย-ฮังการีมุ่งส่งกำลังทหารส่วนใหญ่ต่อสู้กับรัสเซีย
ขณะที่เยอรมนีจัดการกับฝรั่งเศส ความสับสนนี้ทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีต้องแบ่งกำลังเพื่อไปประจำทั้งแนวรบรัสเซียและเซอร์เบีย
การทัพแอฟริกา
การปะทะกันครั้งแรก
ๆ ของสงครามเกิดขึ้นในกองทัพอาณานิคมอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนีในแอฟริกา วันที่ 7 สิงหาคม
กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษรุกรานโตโกแลนด์ อันเป็นดินแดนในอารักขาของเยอรมนี วันที่ 10
สิงหาคม กองทัพเยอรมันในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้โจมตีแอฟริกาใต้ การต่อสู้ประปรายและป่าเถื่อนดำเนินต่อไปกระทั่งสงครามสิ้นสุด
กองทัพอาณานิคมเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกของเยอรมนี นำโดยพันเอก พอล เอมิล ฟอน
เลทโท-วอร์เบค
สู้รบในการทัพสงครามกองโจรระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและยอมจำนนสองสัปดาห์หลังสัญญาสงบศึกมีผลใช้บังคับในยุโรป
การทัพเซอร์เบีย
กองทัพเซอร์เบียสู้รบในยุทธการเซอร์กับออสเตรีย-ฮังการีฝ่ายรุกราน
เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม โดยยึดตำแหน่งป้องกันตามด้านใต้ของแม่น้ำดรินาและซาวา อีกสองสัปดาห์ถัดมา
การโจมตีของออสเตรียถูกตีโต้ตอบกลับไปโดยประสบความสูญเสียอย่างหนัก
นับเป็นชัยชนะสำคัญครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามและทำลายความหวังของออสเตรีย-ฮังการีที่จะได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว
ผลคือ ออสเตรียจำต้องรักษากำลังขนาดใหญ่พอสมควรบนแนวรบเซอร์เบีย
พร้อมกับลดทหารด้านรัสเซียลง
ทหารเซอร์เบียขณะข้ามแม่น้ำคาลูบาราระหว่างการรบ
กองทัพเยอรมันในเบลเยียมและฝรั่งเศส
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น
กองทัพเยอรมัน อันประกอบด้วยเจ็ดกองทัพสนามในด้านตะวันตก เริ่มดำเนินการตามแผนชลีฟเฟินแบบปรับปรุง
ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีฝรั่งเศสอย่างรวดเร็วผ่านดินแดนประเทศเบลเยียมที่เป็นกลาง
ก่อนจะเลี้ยวลงไปทางใต้เพื่อโอบล้อมกองทัพฝรั่งเศสตามพรมแดนเยอรมนี แผนการดังกล่าวกำหนดให้ปีกขวาตีมาบรรจบกันที่กรุงปารีส ซึ่งเยอรมนีประสบความสำเร็จในช่วงแรก
จนถึงวันที่ 12 กันยายน
ฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพอังกฤษหยุดยั้งการรุกของฝ่ายเยอรมนีได้ทางตะวันออกของกรุงปารีสที่ยุทธการมาร์นครั้งที่หนึ่ง (5-12 กันยายน) วันท้าย ๆ
ของยุทธการนี้นำจุดจบมาสู่สงครามจรในด้านตะวันตก การรุกเข้าไปในเยอรมนีของฝรั่งเศสซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ด้วยยุทธการมุลลูส ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย
ทหารเยอรมันในตู้รถไฟขนสินค้าขณะไปยังแนวหน้าใน
ค.ศ. 1914 ข้อความบนตู้เขียนว่า
"ทริปไปปารีส"
ในช่วงต้นของสงครามคาดกันว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะกินเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
ส่วนในทางตะวันออก
มีเพียงหนึ่งกองทัพสนามเท่านั้นที่ป้องกันปรัสเซียตะวันออก
และเมื่อรัสเซียโจมตีพื้นท่ดังกล่าว
ทำให้เยอรมนีต้องแบ่งกำลังที่เดิมตั้งใจจะส่งไปรบในแนวรบด้านตะวันตกมาป้องกัน
เยอรมนีเอาชนะรัสเซียในการรบหลายครั้งซึ่งรวมรู้จักกันในชื่อ ยุทธการทันเนนแบร์กครั้งที่หนึ่ง (17 สิงหาคม - 2 กันยายน)
แต่การแบ่งกำลังดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาความเร็วที่ไม่เพียงพอจากจุดสิ้นสุดทางรถไฟซึ่งเสนาธิการทหารเยอรมันไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
ฝ่ายมหาอำนาจกลางไม่ได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วและถูกบีบให้ทำสงครามสองแนวรบ
เยอรมนีสู้รบตามรายทางไปจนถึงจุดป้องกันที่ดีในประเทศฝรั่งเศสและทำให้ทหารฝรั่งเศสและอังกฤษเสียชีวิตรวมกันมากกว่าทหารเยอรมันถึง
230,000 นาย แต่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จดังนี้แล้วก็ตาม
ปัญหาการสื่อสารและการตัดสินใจบัญชาการที่ไม่แน่นอนทำให้เยอรมนีเสียโอกาสที่จะคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็ว
เอเชียและแปซิฟิก
นิวซีแลนด์ยึดครองเยอรมันซามัว
(ภายหลังชื่อ ซามัวตะวันตก) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม วันที่ 11
กันยายน
กองทัพรบนอกประเทศทหารและนาวิกออสเตรเลียยกพลขึ้นบกบนเกาะนอยพอมแมร์น (ภายหลังชื่อ
นิวบริเตน) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันนิวกินี เยอรมนียึดครองอาณานิคมไมโครนีเซียของเยอรมนี และหลังจากการล้อมชิงเต่า เมืองท่าถ่านหินของเยอรมนีในคาบสมุทรชานตงของจีน ภายในไม่กี่เดือน
กองทัพสัมพันธมิตรได้ยึดครองดินแดนเยอรมนีทั้งหมดในแปซิฟิก
มีเพียงผู้เข้าปล้นการค้าที่โดเดียวและดินแดนส่วนน้อยในนิวกินีที่ยังเหลืออยู่
สงครามขั้นต้น
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งส่วนใหญ่
ทั้งสองฝ่ายหยุดประจัญหน้ากันในการสงครามสนามเพลาะตลอดแนวรบด้านตะวันตก
ยุทธวิธีทางทหารที่ใช้กันช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งล้าหลังกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอยู่มากนัก
ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้สามารถพัฒนาระบบป้องกันอันน่าทึ่ง
ซึ่งยุทธวิธีทางทหารอันล้าสมัยไม่สามารถเจาะทะลวงได้ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสงครามลวดหนามเป็นเครื่องกีดขวางสำคัญในการยับยั้งคลื่นมนุษย์ทหารราบ
ปืนใหญ่ ซึ่งมีประสิทธิภาพร้ายแรงถึงตายกว่าในคริสต์ทศวรรษ 1870 เมื่อใช้ร่วมกับปืนกลแล้ว
ทำให้การเคลื่อนทัพผ่านพื้นที่เปิดนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง ฝ่ายเยอรมนีเริ่มใช้แก๊สพิษ ซึ่งต่อมาทั้งสองฝ่ายได้นำมาใช้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าแก๊สพิษจะไม่เคยถูกพิสูจน์ว่าเป็นปัจจัยเด็ดขาดในการเอาชนะศึก
แต่ผลกระทบของแก๊สพิษนั้นโหดร้าย ทำให้ผู้ได้รับแก๊สเสียชีวิตอย่างช้า ๆ และทรมาน
และแก๊สพิษได้กลายมาเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่เป็นที่หวาดกลัวกันและเป็นที่จดจำดีที่สุดของสงคราม
ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายล้มเหลวที่จะพัฒนายุทธวิธีเจาะที่ตั้งสนามเพลาะโดยไม่ประสบความสูญเสียอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม
ในระยะหลัง เทคโนโลยีเริ่มผลิตอาวุธเพื่อการรุกแบบใหม่ อย่างเช่น รถถัง อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้ใช้หลัก
และเยอรมนีวางกำลังรถถังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ยึดมาได้และรถถังที่ตนออกแบบเองอีกจำนวนหนึ่ง
ภายหลังยุทธการมาร์นครั้งที่หนึ่ง ทั้งฝ่ายไตรภาคีและเยอรมนีเริ่มอุบายการตีโอบปีกของกองทัพฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งเรียกกันว่า "การแข่งขันสู่ทะเล" อังกฤษและฝรั่งเศสพบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพเยอรมันในสนามเพลาะเป็นแนวยาวตั้งแต่แคว้นลอร์เรนของฝรั่งเศสไปจนถึงชายฝั่งเบลเยียม อังกฤษและฝรั่งเศสพยายามจะเป็นฝ่ายริเริ่มบุกก่อน
ขณะที่เยอรมนีตั้งรับอย่างเข้มแข็งในดินแดนยึดครอง ผลที่สุดคือ
สนามเพลาะเยอรมันถูกสร้างขึ้นดีกว่าสนามเพลาะของฝ่ายตรงข้ามมาก
ขณะที่สนามเพลาะของอังกฤษ-ฝรั่งเศสมีเจตนาจะใช้เป็นแนวชั่วคราวก่อนที่กองทัพจะตีผ่านแนวป้องกันของเยอรมนีเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามทำลายสถานการณ์คุมเชิงกันอยู่ด้วยการนำความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้มากขึ้น
วันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1915 ในยุทธการอีแปรครั้งที่สอง ฝ่ายเยอรมนีใช้แก๊สคลอรีนเป็นครั้งแรกบนแนวรบด้านตะวันตก
อันเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก กองทัพอัลจีเรียถอยทัพเมื่อถูกรมแก๊สและเปิดช่องว่างขนาดหกกิโลเมตรในแนวรบสัมพันธมิตรซึ่งฝ่ายเยอรมนีเข้ายึดครองอย่างรวดเร็ว
กองทัพแคนาดาสามารถอุดรอยแตกดังกล่าวได้ในยุทธการครั้งเดียวกัน และในยุทธการอีแปรครั้งที่สาม กองทัพแคนาดาและแอนแซ็กได้ยึดครองหมู่บ้านพาสเชลเดล
ทหารไอร์แลนด์ในสนามเพลาะสื่อสารในวันแรกของยุทธการแม่น้ำซอมม์
วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1916
วันที่ 1 กรกฎาคม
ค.ศ. 1916 เป็นวันที่กองทัพอังกฤษสูญเสียกำลังพลไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์
คือ สูญเสียรวม 57,470 นาย รวมทั้งเสียชีวิต 19,240 นาย ในวันแรกของยุทธการแม่น้ำซอมม์
ความสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชั่วโมงแรกของการโจมตี
การรุกซอมม์ทำให้กองทัพอังกฤษสูญเสียทหารไปทั้งสิ้นเกือบครึ่งล้านนาย
ทั้งสองฝ่ายนั้นพิสูจน์แล้วว่าไม่อาจตัดสินผลชี้ขาดเป็นเวลากว่าสองปี
แม้ว่าการปฏิบัติยืดเยื้อของเยอรมนีที่ป้อมแวร์เดิงตลอด
ค.ศ. 1916 ประกอบกับการนองเลือดที่แม่น้ำซอมม์
ทำให้กองทัพฝรั่งเศสที่เหนื่อยล้าใกล้ล่มสลายเต็มที
ความพยายามอันไร้ผลในการโจมตีทางด้านหน้าทำให้กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสสูญเสียกำลังพลไปสูงลิบ
และนำไปสู่การขัดคำสั่งอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการรุกเนวิลล์
ตลอด ค.ศ. 1915-1917 จักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสประสบความสูญเสียหนักกว่ากองทัพเยอรมันมากนัก
จากสถานะทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ทั้งสองฝ่ายเลือก ซึ่งในทางยุทธศาสตร์
ขณะที่ฝ่ายเยอรมันโจมตีหลักเพียงครั้งเดียวที่แวร์เดิง
ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับโจมตีผ่านแนวของฝ่ายเยอรมันหลายครั้ง ในทางยุทธวิธี หลักการ
"การป้องกันยืดหยุ่น" ของผู้บัญชาการเยอรมนี อีริช ลูเดนดอร์ฟ
เหมาะสมกับการสงครามสนามเพลาะ การป้องกันแบบนี้มีที่มั่นด้านเบาบาง
ส่วนที่ตั้งหลักนั้นอยู่ห่างออกไปพ้นพิสัยปืนใหญ่
ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการตีโต้ตอบอย่างฉับพลันและทรงพลัง
ณ
ช่วงใดช่วงหนึ่ง มีทหารจากอังกฤษและเครือจักรภพประจำอยู่ที่แนวรบด้านตะวันตกราว 1.1 ถึง 1.2 ล้านนายตลอดเวลา ทหารกว่าหนึ่งพันกองพัน
ครอบครองพื้นที่เป็นแนวยาวจากทะเลเหนือจนถึงแม่น้ำออร์น
และใช้ระบบหมุนเวียนสี่ขั้นนานหนึ่งเดือน เว้นแต่ขณะอยู่ระหว่างการโจมตี
แนวรบนั้นเป็นแนวสนามเพลาะยาวกว่า 9.600 กิโลเมตร
แต่ละกองพันจะประจำอยู่ในพื้นที่เป็นเวลาราวหนึ่ง
สัปดาห์ก่อนจะถูกส่งกลับไปยังเส้นทางส่งกำลังบำรุงและจากนั้นถอยกลับไปยังแนวสนับสนุนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปลี่ยนเวน
ซึ่งใช้กันมากในเขตโพเพริงและอแมนส์ของเบลเยียม
ในยุทธการแอเรซ ค.ศ. 1917 ความสำเร็จทางทหารสำคัญของอังกฤษเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว คือ สามารถยึดเนินวีมีได้โดยกองทัพแคนาดาภายใต้การบังคับบัญชาของเซอร์อาเธอร์ คูรี และจูเลียน บียง ฝ่ายโจมตีสามารถรุกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
จากนั้นก็ทำการเสริมกำลังได้อย่างรวดเร็วและยึดครองสันเขาซึ่งป้องกันที่ราบบูไอ ซึ่งอุดมไปด้วยถ่านหิน
ทหารแคนาดาเดินตามหลังรถถังมาร์ก 2 ของอังกฤษ ระหว่างยุทธการเนินวิมี
สงครามทางทะเล
เมื่อสงครามเริ่มต้น
จักรวรรดิเยอรมันมีเรือลาดตระเวนกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งเรือบางลำในจำนวนนี้ได้ถูกใช้โจมตีการเดินเรือพาณิชย์ฝ่ายสัมพันธมิตรต่อมา
ฝ่ายราชนาวีอังกฤษได้พยายามตามล่าเรือรบเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
แต่ก็ยังอับอายจากความไร้ความสามารถในการคุ้มครองการเดินเรือฝ่ายสัมพันธมิตร
ตัวอย่างเช่น เรือลาดตระเวนเบาเยอรมนี เอสเอ็มเอส เอมเดน อันเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเอเชียตะวันออก
ประจำการอยู่ในเมืองท่าชิงเตา ได้ยึดหรือทำลายเรือพ่อค้า 15 ลำ
ตลอดจนเรือลาดตระเวนเบารัสเซียและเรือพิฆาตฝรั่งเศสอย่างละลำด้วย อย่างไรก็ตาม
กองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมนีส่วนใหญ่
ซึ่งประกอบด้วยเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะสองลำ เรือลาดตระเวนเบาสองลำ และเรือขนส่งสองลำ
ไม่ได้รับคำสั่งให้โจมตีการเดินเรือแต่อย่างใด
และกำลังอยู่ระหว่างแล่นกลับเยอรมนีเมื่อกองเรือเผชิญกับเรือรบฝรั่งเศส
กองเรือเยอรมัน พร้อมด้วยเรือเดรสเดน จมเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะได้สองลำในยุทธนาวีโคโรเนล หากกองเรือดังกล่าวเกือบถูกทำลายสิ้นที่ยุทธนาวีหมู่เกาะฟอล์กแลนด์
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1914 โดยมีเพียงเรือเดรสเดนและเรือเล็กอีกไม่กี่ลำเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้
หลังสงครามปะทุไม่นาน
อังกฤษก็ได้ทำการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนี
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เห็นผลแล้วว่ามีประสิทธิภาพ
โดยการปิดล้อมได้ตัดเสบียงของทั้งทหารและพลเรือนที่สำคัญของเยอรมนี
แม้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวจะเป็นการละเมิดกฎหมายนานาชาติซึ่งได้รับการยอมรับและประมวลขึ้นผ่านความตกลงระหว่างประเทศหลายครั้งในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาก็ตาม กองทัพเรืออังกฤษยังได้วางทุ่นระเบิดในเขตน่านน้ำสากลเพื่อป้องกันมิให้เรือลำใดออกสู่เขตมหาสมุทร
ซึ่งเป็นอันตรายแม้แต่กับเรือของประเทศที่เป็นกลาง และเนื่องจากอังกฤษได้รับปฏิกิริยาจากยุทธวิธีดังกล่าวเพียงเล็กน้อย
เยอรมนีจึงคาดหวังว่าสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขตของตนจะได้รับปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยแบบเดียวกัน
กองเรือรบประจัญบานแห่งกองเรือทะเลหลวงในมหาสมุทรแอตแลน
ค.ศ. 1916 ยุทธนาวีจัตแลนด์ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นยุทธนาวีครั้งใหญ่ที่สุดในสงคราม
และครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ซึ่งเป็นการปะทะกันเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งกินเวลาสองวัน คือ 31
พฤษภาคมและ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1916 ในทะเลเหนือนอกคาบสมุทรจัตแลนด์ กองเรือทะเลหลวงของกองทัพเรือเยอรมัน
ภายใต้บังคับบัญชาของพลเรือโทไรนาร์ด เชร์
ประจัญกับกองเรือหลวงของราชนาวีอังกฤษภายใต้การนำของพลเรือเอก เซอร์จอห์น เจลลิโค
ผลของยุทธนาวีนี้ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ
เมื่อฝ่ายเยอรมันสามารถหลบหนีจากกองเรืออังกฤษที่มีกำลังเหนือกว่า
และสร้างความเสียหายแก่กองเรืออังกฤษมากกว่าที่ตนได้รับ แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้ว
ฝ่ายอังกฤษแสดงสิทธิ์ในการควบคุมทะเล และกองเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ของเยอรมนีถูกกักอยู่แต่ในท่ากระทั่งสงครามยุติ
เรืออูของเยอรมนีพยายามตัดเส้นทางเสบียงระหว่างอเมริกาเหนือกับอังกฤษธรรมชาติของสงครามเรือดำน้ำ
หมายความว่า การโจมตีมักมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ทำให้ลูกเรือสินค้ามีหวังรอดชีวิตน้อยมากสหรัฐอเมริกาประท้วง
และเยอรมนีเปลี่ยนกฎการปะทะ หลังการจมเรือโดยสาร อาร์เอ็มเอส ลูซิตาเนีย อันฉาวโฉ่ใน ค.ศ. 1915
เยอรมนีสัญญาว่าจะไม่เลือกโจมตีเรือเดินสมุทรอีก
ขณะที่อังกฤษติดอาวุธเรือสินค้าของตน และจัดให้อยู่นอกเหนือการคุ้มครองของ
"กฎเรือลาดตระเวน" ซึ่งกำหนดให้มีการเตือนภัยและจัดวางลูกเรือไว้ใน
"ที่ปลอดภัย" อันเป็นมาตรฐานซึ่งเรือช่วยชีวิตไม่เป็นไปตามนี้ จนในที่สุด ต้น ค.ศ. 1917 เยอรมนีปรับใช้นโยบายสงครามเรือดำน้ำไม่จำกัดขอบเขต
เมื่อตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงครามในที่สุดเยอรมนีพยายามจะจำกัดเส้นทางเดินเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะสามารถขนส่งกองทัพขนาดใหญ่ข้ามทะเล
แต่เยอรมนีสามารถใช้เรืออูพิสัยไกลออกปฏิบัติการได้เพียงห้าลำ จึงมีผลจำกัด
ภัยจากเรืออูนั้นเริ่มลดลงใน
ค.ศ. 1917
เมื่อเรือพาณิชย์ของอังกฤษเริ่มเดินทางในขบวนเรือคุ้มกัน (convoy)
ที่มีเรือพิฆาตนำ ยุทธวิธีดังกล่าวทำให้เรืออูค้นหาเป้าหมายยาก
และทำให้การสูญเสียลดลงอย่างสำคัญ หลังจากเริ่มมีการใช้ไฮโดรโฟนและระเบิดน้ำลึก
ทำให้เรือพิฆาตที่เสริมเข้ามาอาจโจมตีเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำได้โดยมีหวังสำเร็จอยู่บ้าง
ขบวนเรือคุ้มกันดังกล่าวทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งเสบียง
เพราะเรือต้องรอให้ขบวนเรือคุ้มกันมารวมกันครบก่อน ทางแก้ปัญหาความล่าช้านี้ คือ
โครงการอันกว้างขวางในการสร้างเรือขนส่งสินค้าแบบใหม่
ส่วนเรือขนส่งทหารนั้นเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเรือดำน้ำและไม่เดินทางไปกับขบวนเรือคุ้มกันในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เรืออูจมเรือฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่า 5,000 ลำ
โดยมีเรือดำน้ำถูกทำลายไป 199 ลำ
เอชเอ็มเอส ไลออนระหว่างยุทธนาวีจัตแลนด์
หลังถูกระดมยิงอย่างหนักจากเรือรบเยอรมัน
เขตสงครามใต้
บอลข่าน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย
ออสเตรีย-ฮังการีจึงสามารถแบ่งกองทัพโจมตีเซอร์เบียได้เพียงหนึ่งในสาม
หลังประสบความสูญเสียอย่างหนัก ออสเตรียก็สามารถยึดครองเมืองหลวงเบลเกรดของเซอร์เบียได้ช่วงหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การตีโต้ตอบของเซอร์เบียในยุทธการคอลูบารา
ได้ขับออสเตรียออกจากประเทศเมื่อถึงปลาย ค.ศ. 1914 ในช่วงสิบเดือนแรกของ
ค.ศ. 1915 ออสเตรีย-ฮังการีใช้ทหารกองหนุนส่วนใหญ่สู้รบกับอิตาลี
แต่ทูตเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีสามารถชักชวนให้บัลแกเรียเข้าร่วมโจมตีเซอร์เบีย
จังหวัดสโลวีเนีย
โครเอเชียและบอสเนียของออสเตรีย-ฮังการีเป็นพื้นที่จัดเตรียมทหารให้แก่ออสเตรีย-ฮังการี
ซึ่งรุกรานเซอร์เบียเช่นเดียวกับสู้รบกับรัสเซียและอิตาลี มอนเตเนโกรวางตัวเป็นพันธมิตรกับเซอร์เบีย
เซอร์เบียถูกยึดครองนานกว่าหนึ่งเดือนเล็กน้อย
เมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มโจมตีทางเหนือตั้งแต่เดือนตุลาคม อีกสี่วันถัดมา
บัลแกเรียร่วมโจมตีจากทางตะวันออก กองทัพเซอร์เบีย
ซึ่งสู้รบบนสองแนวรบและแน่นอนว่าต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ ได้ถอยทัพไปยังอัลเบเนีย
และหยุดยั้งเพียงครั้งเดียวเพื่อป้องกันการโจมตีของบัลแกเรีย
ชาวเซิร์บประสบความพ่ายแพ้ในยุทธการโคโซโว
มอนเตเนโกรช่วยคุ้มกันการล่าถอยของเซอร์เบียไปยังชายฝั่งเอเดรียติกในยุทธการมอยคอแวทส
เมื่อวันที่ 6-7 มกราคม ค.ศ. 1916 แต่สุดท้ายก็ส่งผลให้ออสเตรียยึดครองมอนเตเนโกรเช่นเดียวกัน
กองทัพเซอร์เบียถูกอพยพทางเรือไปยังกรีซ
ทหารออสเตรียประหารชีวิตชาวเซอร์เบียที่ถูกจับเป็นเชลยใน
ค.ศ. 1917 เซอร์เบียสูญเสียประชากรราว 850,000 คน หนึ่งในสี่ของประชากรก่อนสงคราม และทรัพยากรครึ่งหนึ่งก่อนสงคราม
ปลาย ค.ศ. 1915
กองทัพฝรั่งเศส-อังกฤษยกพลขึ้นบกที่ซาโลนิกาของกรีซ
เพื่อเสนอความช่วยเหลือและกดดันให้รัฐบาลกรีซประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง
โชคไม่เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อพระมหากษัตริย์กรีกผู้ทรงนิยมเยอรมนี
พระเจ้าคอนแสตนตินที่ 1 ทรงปลดรัฐบาลนิยมสัมพันธมิตรของเอเลฟเทริออส เวนิเซลอสพ้นจากตำแหน่ง ก่อนที่กองทัพรบนอกประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรจะมาถึงความร้าวฉานระหว่างพระมหากษัตริย์กรีซและฝ่ายสัมพันธมิตรพอกพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งส่งผลให้กรีซถูกแบ่งแยกเป็นภูมิภาคซึ่งยังจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลเฉพาะกาลใหม่ของเวนิเซลอสในซาโลนิกา
หลังการเจรจาทางการทูตอย่างเข้มข้นและการเผชิญหน้าด้วยอาวุธในกรุงเอเธนส์ระหว่างกองทัพสัมพันธมิตรและฝ่ายนิยมกษัตริย์
ทำให้พระมหากษัตริย์กรีซต้องสละราชสมบัติ และพระราชโอรสพระองค์ที่สอง
อเล็กซานเดอร์ เสด็จขึ้นครองราชย์แทน
เวนิเซลอสเดินทางกลับมายังกรุงเอเธนส์เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม
ค.ศ. 1917 และกรีซ ซึ่งรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร
กองทัพกรีซทั้งหมดถูกระดมและเริ่มเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารต่อฝ่ายมหาอำนาจกลางบนแนวรบมาซิโดเนีย
หลังจากถูกยึดครอง
เซอร์เบียถูกแบ่งออกระหว่างออสเตรีย-ฮังการีและบัลแกเรีย ใน ค.ศ. 1917 ชาวเซิร์บได้ก่อการกำเริบโทพลิคาขึ้น
และส่งผลให้พื้นที่ระหว่างเทือกเขาโกบาโอนิคและแม่น้ำเซาท์โมราวาถูกปลดปล่อยชั่วคราว
แต่การก่อการกำเริบดังกล่าวถูกบดขยี้โดยกองทัพร่วมบัลแกเรียและออสเตรียเมื่อปลายเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1917
แนวรบมาซิโดเนียส่วนใหญ่ไม่มีพัฒนาการ
กองทัพเซอร์เบียยึดคืนบางส่วนของมาซิโดเนียโดยยึดบิโตลาคืนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 และเฉพาะเมื่อสงครามใกล้ยุติลงแล้วเท่านั้นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถโจมตีผ่านได้
หลังกองทัพเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีส่วนใหญ่ถอนกำลังออกไปแล้ว
กองทัพบัลแกเรียประสบความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวในสงครามที่ยุทธการโดโบรโพล
แต่อีกไม่กี่วันให้หลัง
บัลแกเรียก็สามารถเอาชนะกองทัพอังกฤษและกรีกได้อย่างเด็ดขาดที่ยุทธการดอเรียน
แต่เพื่อป้องกันการถูกยึดครอง บัลแกเรียได้ลงนามการสงบศึกเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1918ฮินเดนบูร์กและลูเดนดอร์ฟสรุปว่าสมดุลทางยุทธศาสตร์และปฏิบัติการเอียงไปข้างฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วอย่างไม่มีข้อสงสัย
และหนึ่งวันหลังบัลแกเรียออกจากสงคราม ระหว่างการประชุมกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ยืนยันให้มีการเจรจาสันติภาพในทันที
การหายไปของแนวรบมาซิโดเนียหมายความว่าถนนสู่บูดาเปสต์และเวียนนาเปิดกว้างสำหรับกองทัพขนาดกำลังพล
670,000 นาย ภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกเฟรนเช เดเปเร
เมื่อบัลแกเรียยอมจำนน ทำให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางสูญเสียทหารราบ 278 กองพัน และปืนใหญ่ 1,500 กระบอก
ซึ่งเทียบเท่ากับกองพลของเยอรมนีราว 25 ถึง 30 กองพล ซึ่งเคยยึดแนวดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้กองบัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีตัดสินใจส่ง 7 กองพลทหารราบ
และ 1 กองพลทหารม้าไปยังแนวหน้า
แต่กำลังเหล่านี้ไม่เพียงพอจะสถาปนาแนวรบขึ้นมาใหม่ได้อีก
ทหารบัลแกเรียในสนามเพลาะเตรียมยิงอากาศยานที่กำลังมา
จักรวรรดิออตโตมัน
จักรวรรดิออตโตมันเข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยได้ลงนามเป็นพันธมิตรออตโตมัน-เยอรมันอย่างลับ ๆ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งได้ภัยคุกคามต่อดินแดนคอเคซัสของรัสเซีย และการติดต่อคมนาคมของอังกฤษกับอินเดียผ่านทางคลองสุเอซ อังกฤษและฝรั่งเศสได้เปิดแนวรบโพ้นทะเลด้วยการทัพกัลลิโปลีและการทัพเมโสโปเตเมีย ที่กัลลิโปลี
จักรวรรดิออตโตมันสามารถขับไล่กองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศสและเหล่ากองทัพออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้
แต่การณ์กลับตรงกันข้ามในเมโสโปเตเมีย ซึ่งจักรวรรดิออตโตมันพ่ายแพ้อย่างหายนะจากการล้อมคุท (ค.ศ. 1915-16) กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรวบรวมทัพใหม่และสามารถยึดกรุงแบกแดดได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1917
ห่างไปทางตะวันตก คลองสุเอซได้รับการป้องกันอย่างเป็นผลจากการโจมตีของออตโตมันใน ค.ศ. 1915 และ 1916 ในเดือนสิงหาคม
กองทัพเยอรมันและออตโตมันพ่ายแพ้ที่ยุทธการโรมานี หลังชัยชนะนี้
กองทัพจักรวรรดิอังกฤษรุกคืบข้ามคาบสมุทรไซนาย ผลักดันกองทัพออตโตมันให้ถอยกลับไปในยุทธการแมกดาบา
(Magdhaba) ในเดือนธันวาคมและยุทธการราฟาตรงชายแดนระหว่างไซนายของอียิปต์และปาเลสไตน์ของออตโตมันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 ในเดือนมีนาคมและเมษายน
ที่ยุทธการกาซาครั้งแรกและครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและออตโตมันหยุดการรุกคืบ
แต่ในปลายเดือนตุลาคม การทัพไซนายและปาเลสไตน์ดำเนินต่อ
เมื่อกองทัพรบนอกประเทศอียิปต์ของอัลเลนบีชนะยุทธการเบียร์เชบา
สองกองทัพออตโตมันพ่ายแพ้อีกไม่กี่สัปดาห์ให้หลังที่ยุทธการสันเขามักอาร์ (Maghar
Ridge) และต้นเดือนธันวาคม เยรูซาเลมถูกยึดได้หลังกองทัพออตโตมันอีกกองทัพหนึ่งพ่ายแพ้ที่ยุทธการเยรูซาเล็ม
พอถึงช่วงนี้ ฟรีดริช ไฟรแฮร์ เครสส์ ฟอน
เครสเซนสไตน์ถูกปลดจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพที่ 8 และแทนที่ด้วย
Cevat Çobanlı และอีกไม่กี่เดือนให้หลัง
ผู้บัญชาการกองทัพออตโตมันในปาเลสไตน์ อีริช ฟอน ฟัลเคนไฮน์ ถูกแทนที่ด้วยออทโท
ลีมัน ฟอน ซันเดอร์ส
ที่ตั้งปืนใหญ่ของกองทัพอังกฤษระหว่างยุทธการเยรูซาเล็ม ค.ศ. 1917
โดยปกติแล้วกองทัพรัสเซียด้านคอเคซัสเป็นกองทัพที่ดีที่สุด เอนเวอร์
ปาชา ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพออตโตมัน
มีความทะเยอทะยานและใฝ่ฝันจะยึดครองเอเชียกลางอีกครั้ง
และดินแดนที่เคยเสียให้แก่รัสเซียในอดีต แต่เขาเป็นผู้บัญชาการที่ไม่มีความสามารถ เขาออกคำสั่งโจมตีรัสเซียในคอเคซัสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1914 โดยมีกำลังพล 100,000 นาย
เขายืนกรานการโจมตีทางด้านหน้าต่อที่ตั้งของรัสเซียที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาในฤดูหนาว
ซึ่งทำให้สูญเสียกำลังพลไปถึง 86% ในยุทธการซาริคามิส
ผู้บัญชาการรัสเซียระหว่าง
ค.ศ. 1915-1916
พลเอกนิโคไล
ยูเดนนิช สามารถขับไล่พวกเติร์กให้ออกไปจากเขตเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้ส่วนใหญ่โดยได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง
ใน ค.ศ. 1917 แกรนด์ดยุกนิโคลัสเข้าบัญชาการกองทัพรัสเซียแนวรบคอเคซัส เขาวางแผนสร้างทางรถไฟจากจอร์เจียไปยังดินแดนยึดครอง
เพื่อที่ว่ากองทัพรัสเซียจะมีเสบียงเพียงพอในการรุกครั้งใหม่ใน ค.ศ. 1917 อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 พระเจ้าซาร์ถูกโค่นล้มหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ และกองทัพรัสเซียคอเคซัสเริ่มแตกออกจากกัน
ด้วยการยุยงของสำนักอาหรับของสำนักงานต่างประเทศและเครือจักรภพของอังกฤษ การปฏิวัติอาหรับจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1916
ด้วย ยุทธการเมกกะ โดย ชารีฟ ฮัสเซน แห่งเมกกะ และจบลงด้วยการยอมจำนนของจักรวรรดิออตโตมันที่ดามัสกัส
ฟาครี ปาชา ผู้บัญชาการออตโตมันที่เมดินะ
ทำการรบต้านทานเป็นเวลากว่าสองปีครึ่งระหว่างการล้อมเมดินะ
ตามพรมแดนลิเบียของอิตาลีและอียิปต์ของอังกฤษ
ชนเผ่าเซนุสซี ซึ่งได้รับการปลุกปั่นยุยงและติดอาวุธโดยพวกเติร์ก
ทำสงครามกองโจรขนาดเล็กต่อกองทัพสัมพันธมิตร ฝ่ายอังกฤษถูกบีบให้ต้องแบ่งทหาร 12,000 นายมาต่อสู้ในการทัพเซนุสซี
จนกระทั่งกบฏเหล่านี้ถูกบดขยี้ในที่สุดเมื่อกลาง ค.ศ. 1916
สนามเพลาะป่ารัสเซียในซาริคามิส
การเข้าร่วมของอิตาลี
อิตาลีเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีตั้งแต่
ค.ศ. 1882
โดยเป็นภาคีของไตรพันธมิตร อย่างไรก็ตาม
อิตาลีนั้นมีเจตนาของตนบนพื้นที่ของออสเตรียในเตรนตีโน อิสเตรียและดัลมาเทีย อิตาลีได้แอบทำสนธิสัญญาอย่างลับ
ๆ กับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1902 ซึ่งเป็นการลบล้างพันธมิตรเก่าอย่างสิ้นเชิง
ในตอนต้นของสงคราม อิตาลีปฏิเสธที่จะส่งทำเข้าร่วมรบกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
โดยให้เหตุผลว่าไตรพันธมิตรเป็นพันธมิตรป้องกัน
แต่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีกลับเป็นผู้เปิดฉากสงครามก่อนเสียเอง
รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีเริ่มเจรจาเพื่อพยายามจะให้อิตาลีวางตัวเป็นกลางในสงคราม
โดยเสนออาณานิคมตูนิเซียของฝรั่งเศสให้เป็นการตอบแทน
ซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรก็ยื่นข้อเสนอซ้อนโดยสัญญาว่าจะอิตาลีจะได้ไทรอลใต้
จูเลียนมาร์ช และดินแดนบนชายฝั่งดัลมาเทียหลังออสเตรีย-ฮังการีพ่ายแพ้
ข้อเสนอดังกล่าวทำให้เป็นทางการในสนธิสัญญาลอนดอน หลังถูกกระตุ้นจากการรุกรานตุรกีของฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเดือนเมษายน
ค.ศ. 1915 อิตาลีเข้าร่วมกับไตรภาคีและประกาศสงครามต่อออสเตรีย-ฮังการีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม
และประกาศสงครามต่อเยอรมนีอีกสิบห้าเดือนให้หลัง
แม้ว่าในทางการทหาร
อิตาลีจะมีความเหนือกว่าด้านกำลังพลก็ตาม แต่ข้อได้เปรียบดังกล่าวเสียไป
ไม่เพียงแต่มีสาเหตุจากลักษณะภูมิประเทศสลับซับซ้อนที่เกิดการสู้รบขึ้นเท่านั้น
แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ใช้ด้วย จอมพลลุยจิ คาดอร์นา
ผู้เสนอการโจมตีทางด้านหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ใฝ่ฝันว่าจะตีเข้าไปสู่ที่ราบสูงสโลวีเนีย ตีเมืองลูบลิยานา และคุกคามกรุงเวียนนา มันเป็นแผนการสมัยนโปเลียน
ซึ่งไม่มีโอกาสสำเร็จแท้จริงเลยในยุคของลวดหนาม ปืนกลและการยิงปืนใหญ่ทางอ้อม
ประกอบกับภูมิประเทศที่เป็นเนินและภูเขา
บนแนวรบเตรนติโน
ออสเตรีย-ฮังการีใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศแบบภูเขา
ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายตั้งรับ หลังจากการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในช่วงแรก
ส่วนใหญ่แนวรบก็แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายสู้รบในระยะประชิดตัวอันขมขื่นตลอดฤดูร้อน
ออสเตรีย-ฮังการีตีโต้ตอบที่อัสซิอาโก มุ่งหน้าไปยังเวโรนาและปาดัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1916
แต่มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย
เริ่มตั้งแต่
ค.ศ. 1915
กองทัพอิตาลีภายใต้การบังคับบัญชาของคาดอร์นา
ได้โจมตีประมาณสิบเอ็ดครั้งบนแนวไอซอนโซตามแนวของแม่น้ำชื่อเดียวกัน
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของตรีเอสเต ซึ่งการโจมตีทั้งหมดก็ถูกขับไล่โดยกองทัพออสเตรีย-ฮังการี
ซึ่งยึดภูมิประเทศที่สูงกว่า ในฤดูร้อน ค.ศ. 1916 กองทัพอิตาลีสามารถตีเมืองกอร์ริซเซียได้ หากหลังจากชัยชนะย่อยครั้งนี้ แนวรบนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี
แม้อิตาลีจะโจมตีอีกหลายครั้ง เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1917 ทหารออสเตรีย-ฮังการีได้รับกำลังเสริมขนาดใหญ่จากเยอรมนี
ฝ่ายมหาอำนาจกลางเริ่มการรุกเด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม
ค.ศ. 1917 โดยมีทหารเยอรมันเป็นหัวหอก ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้รับชัยชนะที่คาปอร์เรตโต
กองทัพอิตาลีแตกพ่ายและล่าถอยเป็นระยะทางมากกว่า 100 กิโลเมตร
จึงสามารถจัดระเบียบใหม่ได้ และยึดแนวที่แม่น้ำเปียเว
และเนื่องจากอิตาลีสูญเสียอย่างหนักในยุทธการคาปอร์เรตโต
รัฐบาลอิตาลีจึงสั่งให้ชายอายุต่ำกว่า 18 ปีทุกคนเข้าประจำการ
ใน ค.ศ. 1918 ออสเตรีย-ฮังการีไม่สามารถตีผ่านแนวดังกล่าวได้
ในยุทธการหลายครั้งตามแม่น้ำเปียเว และสุดท้ายก็พ่ายแพ้ราบคาบในยุทธการวิตโตริโอ
วีนีโตในเดือนตุลาคมปีนั้น ออสเตรีย-ฮังการียอมจำนนในต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918
ทหารภูเขาออสเตรีย-ฮังการีในไทรอล ทหารภูเขาออสเตรีย-ฮังการีในไทรอล
การเข้าร่วมของโรมาเนีย
โรมาเนียได้เป็นพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลางตั้งแต่
ค.ศ. 1882
อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามเริ่มต้น โรมาเนียได้ประกาศตนเป็นกลาง
โดยให้เหตุผลว่าออสเตรีย-ฮังการีเองที่เป็นฝ่ายประกาศสงครามต่อเซอร์เบีย
และโรมาเนียไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องเข้าสู่สงคราม เมื่อฝ่ายไตรภาคีให้สัญญาว่าจะยกดินแดนขนาดใหญ่ทางตะวันออกของฮังการี
(ทรานซิลเวเนียและบานัท)
ซึ่งมีประชากรโรมาเนียขนาดใหญ่อาศัยอยู่ ให้แก่โรมาเนีย
แลกเปลี่ยนกับที่โรมาเนียต้องประกาศสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง
รัฐบาลโรมาเนียจึงสละความเป็นกลาง และวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ.
1916 กองทัพโรมาเนียได้เปิดฉากโจมตีออสเตรีย-ฮังการี
โดยได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจากรัสเซีย
การรุกของโรมาเนียประสบความสำเร็จในช่วงต้น
โดยสามารถผลักดันทหารออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลเวเนียออกไปได้
แต่การตีโต้ตอบของฝ่ายมหาอำนาจกลางขับกองทัพรัสเซีย-โรมาเนีย
และเสียกรุงบูคาเรสต์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1916
การสู้รบในมอลโดวาดำเนินต่อไปใน ค.ศ. 1917 ซึ่งจบลงด้วยการคุมเชิงกันที่มีราคาแพงสำหรับฝ่ายมหาอำนาจกลาง เมื่อรัสเซียถอนตัวจากสงครามในปลาย ค.ศ. 1917 จากผลของการปฏิวัติเดือนตุลาคม
โรมาเนียถูกบีบให้ลงนามในการสงบศึกกับฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1917
ในเดือนมกราคม
ค.ศ. 1918
กองทัพโรมาเนียสถาปนาการควบคุมเหนือเบสซาราเบีย
เมื่อกองทัพรัสเซียละทิ้งดินแดนดังกล่าว
แม้ว่าสนธิสัญญาถูกลงนามโดยรัฐบาลโรมาเนียและบอลเชวิครัสเซียหลังการประชุมระหว่างวันที่ 5-9 มีนาคม ค.ศ. 1918
ที่ให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากเบสซาราเบียภายในสองเดือน วันที่
27 มีนาคม ค.ศ. 1918 โรมาเนียผนวกเบสซาราเบียเข้าเป็นดินแดนของตน
โดยอาศัยอำนาจอย่างเป็นทางการของมติที่ผ่านโดยสภานิติบัญญัติท้องถิ่นของดินแดนในการรวมเข้ากับโรมาเนีย
โรมาเนียยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการโดยการลงนามในสนธิสัญญาบูคาเรสต์เมื่อวันที่
7 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 ภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าว
โรมาเนียมีข้อผูกมัดจะยุติสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลางและยกดินแดนบางส่วนให้แก่ออสเตรีย-ฮังการี
ยุติการควบคุมช่องเขาบางแห่งในเทือกเขาคาร์พาเธียนและยกสัมปทานน้ำมันแก่เยอรมนี
ในการแลกเปลี่ยน ฝ่ายมหาอำนาจกลางจะรับรองเอกราชของโรมาเนียเหนือเบสซาราเบีย
สนธิสัญญาดังกล่าวถูกละทิ้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 และโรมาเนียเข้าสู่สงครามอีกครั้งเมื่อวันที่
10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 วันรุ่งขึ้น
สนธิสัญญาบูคาเรสต์ถูกทำให้เป็นโมฆะตามเงื่อนไขของการสงบศึกที่คองเปียญ มีการประเมินว่าชาวโรมาเนียทั้งทหารและพลเรือนที่เสียชีวิตระหว่าง ค.ศ.
1914 และ 1918 ภายในพรมแดนปัจจุบัน มีถึง 748,000
คน
บทบาทของอินเดีย
สงครามเริ่มต้นโดยสหราชอาณาจักรได้รับความจงรักภักดีและความปรารถนาดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจากภายในเหล่าผู้นำทางการเมืองกระแสหลัก
ตรงข้ามกับอังกฤษซึ่งหวาดกลัวการปฏิวัติของชาวอินเดีย อันที่จริงแล้วกองทัพอินเดียมีกำลังพลเหนือกว่ากองทัพอังกฤษเมื่อสงครามเริ่มต้นใหม่
ๆ
อินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษสนับสนุนความพยายามของสงครามของอังกฤษอย่างมากโดยการจัดหากำลังคนและทรัพยากร
รัฐสภาอินเดียปฏิบัติเช่นนั้นด้วยหวังว่าจะได้รับสิทธิ์ปกครองตนเอง ขณะที่อินเดียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษอยู่มาก
สหราชอาณาจักรทำให้ชาวอินเดียผิดหวังโดยไม่ให้การปกครองตนเอง นำไปสู่ยุคคานธีในประวัติศาสตร์อินเดีย ทหารและแรงงานอินเดียกว่า 1.3 ล้านคนถูกส่งไปปฏิบัติในยุโรป
แอฟริกาและตะวันออกกลาง ขณะที่ทั้งรัฐบาลอินเดียและเจ้าชายส่งเสบียงอาหาร
เงินและเครื่องกระสุนให้เป็นปริมาณมาก จากทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบด้านตะวันตก
140,000 นาย และอีกเกือบ 700,000 นายในตะวันออกกลาง
ทหารอินเดียเสียชีวิต 47,476 นาย และได้รับบาดเจ็บ 65,126
นายระหว่างสงคราม
แนวรบด้านตะวันออก
การปฏิบัติขั้นต้น
ขณะที่สถานการณ์ในแนวรบด้านตะวันตกยังคุมเชิงกันอยู่
สงครามยังดำเนินต่อไปในแนวรบด้านตะวันออก แผนเดิมของรัสเซียกำหนดให้รุกรานกาลิเชีย
ของออสเตรียและรัสเซียตะวันออกของเยอรมนีพร้อมกัน แม้ว่าการรุกขั้นต้นเข้าไปในกาลิเชียของรัสเซียจะประสบความสำเร็จใหญ่หลวง
แต่กองทัพที่ส่งไปโจมตีรัสเซียตะวันออกถูกขับกลับมาโดยฮินเดนบูร์กและลูเดนดอร์ฟที่ทันเนนแบร์กและทะเลสาบมาซูเรียนในเดือนสิงหาคมและกันยายน
ค.ศ. 1914 ฐานอุตสาหกรรมที่ด้อยพัฒนาของรัสเซียและผู้นำทางทหารที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังนี้
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1915 รัสเซียล่าถอยเข้าไปในกาลิเชีย
และในเดือนพฤษภาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางสามารถตีผ่านแนวรบทางใต้ของโปแลนด์ครั้งใหญ่
วันที่ 5 สิงหาคม
ฝ่ายมหาอำนาจกลางยึดวอร์ซอและบีบให้รัสเซียถอยออกจากโปแลนด์
เชลยศึกรัสเซียที่เทนเนนแบร์ก
การปฏิวัติรัสเซีย
แม้ความสำเร็จในกาลิเซียตะวันออกระหว่างการรุกบรูซิลอฟเมื่อเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1916 แต่ความไม่พอใจกับการชี้นำสู่สงครามของรัฐบาลรัสเซียเพิ่มมากขึ้น
ความสำเร็จถูกบ่นทอนโดยความไม่เต็มใจของนายพลคนอื่นที่ส่งกำลังของตนเข้าไปสนับสนุนให้ได้รับชัยชนะ
กองทัพสัมพันธมิตรและรัสเซียฟื้นฟูชั่วคราวเฉพาะเมื่อโรมาเนียเข้าสู่สงครามเมื่อวันที่
27 สิงหาคม
กองทัพเยอรมันเข้าช่วยเหลือกองทัพออสเตรีย-ฮังการีพร้อมรบในทรานซิลเวเนียและบูคาเรสต์เสียให้แก่ฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่
6 ธันวาคม ขณะเดียวกัน ความไม่สงบเกิดขึ้นในรัสเซีย
ระหว่างที่ซาร์ยังคงประทับอยู่ที่แนวหน้า การปกครองอย่างขาดพระปรีชาสามารถของจักรพรรดินีอเล็กซานดรานำไปสู่การประท้วง
และการฆาตกรรมคนสนิทของพระนาง รัสปูติน เมื่อปลายปี ค.ศ. 1916
เมื่อเดือนมีนาคม
1917
การชุมนุมประท้วงในเปโตรกราด ลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของซาร์นิโคลัสที่
2 แห่งรัสเซียและการแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราวของรัสเซียซึ่งอ่อนแอ
และแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มสังคมนิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวนำไปสู่ความสับสนและความวุ่นวายทั้งที่แนวหน้าและในรัสเซีย
กองทัพรัสเซียยิ่งมีประสิทธิภาพด้อยลงกว่าเดิมมาก
สงครามและรัฐบาลได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อย
ๆ ความไม่พอใจทำให้พรรคบอลเชวิค ที่นำโดยวลาดีมีร์ เลนิน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เขาให้สัญญาว่าจะดึงรัสเซียออกจากสงครามและทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในเดือนพฤศจิกายนนั้น
ตามมาด้วยการสงบศึกและการเจรจากับเยอรมนี ในตอนแรก
พรรคบอลเชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยอรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอรมันทำสงครามต่อไปและเคลื่อนผ่านยูเครนโดยไม่ช้าลง รัฐบาลใหม่จึงต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งทำให้รัสเซียออกจากสงคราม
แต่ต้องยอมยกดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล รวมไปถึงฟินแลนด์ รัฐบอลติก บางส่วนของโปแลนด์และยูเครนแก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง อย่างไรก็ตาม
ดินแดนที่เยอรมนีได้รับจากรัสเซียทำให้ต้องแบ่งกำลังพลไปยึดครองและอาจเป็นปัจจัยนำสู่ความล้มเหลวของการรุกฤดูใบไม้ผลิ
และสนับสนุนอาหารและยุทธปัจจัยอื่นค่อนข้างน้อย
ด้วยการลงมติยอมรับสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์
ไตรภาคีจึงไม่คงอยู่อีกต่อไป ฝ่ายสัมพันธมิตรนำกำลังขนาดเล็กรุกรานรัสเซีย
ส่วนหนึ่งเพื่อหยุดมิให้เยอรมนีใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรัสเซีย
และในขอบเขตที่เล็กกว่า เพื่อให้การสนับสนุน "รัสเซียขาว" (ตรงข้ามกับ
"รัสเซียแดง") ในสงครามกลางเมืองรัสเซีย กองทัพสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่อาร์ชอันเกลและวลาดิวอสตอก
วลาดีมีร์
เลนิน
ข้อเสนอริเริ่มการเจรจาสันติภาพของฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1916 หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดสิบเดือนของยุทธการแวร์ดังและการรุกโรมาเนียที่ประสบความสำเร็จ
เยอรมนีพยายามจะเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่นานหลังจากนั้น
ประธานาธิบดีสหรัฐ วูดโรว์ วิลสันพยายามเข้าแทรกแซงเป็นผู้ประนีประนอม
โดยร้องขอในโน้ตแก่ทั้งสองฝ่ายให้ระบุข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่าย
คณะรัฐมนตรีสงครามของอังกฤษมองว่าข้อเสนอสันติภาพของเยอรมนีเป็นแผนการสร้างความแตกแยกในฝ่ายสัมพันธมิตร
หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว อังกฤษถือโน้ตของวิลสันเป็นอีกความพยายามหนึ่ง
โดยส่งสัญญาณว่าสหรัฐใกล้จะเข้าสู่สงครามกับเยอรมนีหลัง
"การทำลายล้างด้วยเรือดำน้ำ"
ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโต้เถียงกันเรื่องการตอบข้อเสนอของวิลสัน
เยอรมนีเลือกจะบอกปัดและสนับสนุน "การแลกเปลี่ยนมุมมองโดยตรง" มากกว่า
เมื่อทราบถึงการตอบสนองของเยอรมนี รัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นอิสระจะระบุข้อเรียกร้องที่ชัดเจนในวันที่
14 มกราคม
โดยเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย การอพยพประชากรจากดินแดนยึดครอง
ค่าเสียหายแก่ฝรั่งเศส รัสเซียและโรมาเนีย และการยอมรับหลักการแห่งเชื้อชาติ
ซึ่งรวมไปถึงการให้เสรีภาพแก่ชาวอิตาลี สลาฟ โรมาเนีย เชโกสโลวัก และการสถาปนา
"โปแลนด์ที่มีอิสระและรวมเป็นหนึ่ง" ว่าด้วยปัญหาความมั่นคง
ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกร้องคำยืนยันที่จะป้องกันหรือจำกัดสงครามในอนาคต
และยกเลิกการลงโทษ เป็นเงื่อนไขของทุกการเจรจาสันติภาการเจรจาล้มเหลวและไตรภาคีปฏิเสธข้อเสนอของเยอรมนี
เพราะเยอรมนีไม่ได้กล่าวถึงข้อเสนอใดเจาะจง
วิลสันและไตรภาคีว่าจะไม่เริ่มการเจรจาสันติภาพจนกว่าฝ่ายมหาอำนาจกลางจะอพยพประชากรในดินแดนยึดครองที่เคยเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตรและค่าชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
follow the next
....................................................................................
wed 09/07/2016
















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น